ใครบ้างที่เคยเจอปัญหาผิวแห้ง ผิวลอกเป็นขุย และคันยุบยิบ? ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้าหรือผิวกายก็อาจจะขาดน้ำ หรือขาดความชุ่มชื้นได้ทั้งนั้น แต่เราเคยสงสัยกันไหมว่า อาการผิวแห้งเกิดจากอะไร และเราควรดูแลตัวเองยังไงให้ผิวกลับมาชุ่มชื้น และสุขภาพดี ในบทความนี้ อิงกุมีคำตอบ
ผิวแห้ง vs ผิวขาดน้ำ
ผิวแห้ง คือ ประเภทของผิวที่ไม่สามารถล็อกความชุ่มชื้นไว้ได้ เนื่องจากความสามารถในการผลิตน้ำมันของผิวมีได้น้อย เลยทำให้น้ำระเหยออกจากผิวได้ง่าย หรือที่เรียกว่า Transepidermal Water-Loss (TEWL)
ส่วนอาการผิวขาดน้ำ คือ อาการที่ผิวมีความชุ่มชื้นไม่พอ เกิดจากการที่เกราะป้องกันของผิวไม่แข็งแรง ทำให้ผิวเสียน้ำได้ง่ายขึ้น ซึ่งไม่ว่าเราจะมีผิวประเภทไหน ก็อาจจะเกิดอาการผิวขาดน้ำได้ทั้งนั้น
ผิวที่แห้งมาก ๆ หรือขาดน้ำมาก ๆ อาจเกิดการลอกเป็นขุย หรือแตกเป็นร่อง มีความคัน ความตึง และดูไม่กระจ่างใส ซึ่งผิวที่แห้งกมักเกิดการระคายเคืองหรือเป็นผดผื่นได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้เครื่องสำอางหลุดง่าย แต่งหน้าไม่ติดทน ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำเอาหลาย ๆ คนปวดหัว
สาเหตุที่ทำให้ผิวขาดน้ำ
ผิวแห้ง เกิดจากพันธุกรรม แต่อาการผิวขาดน้ำนั้นเกิดได้จากหลายปัจจัยด้วยกัน โดยเราสามารถสรุปได้อย่างคร่าว ๆ ดังนี้
ดื่มน้ำน้อย ทำให้ผิวขาดน้ำ
เป็นสาเหตุที่ตรงไปตรงมามาก ๆ เพราะร่างของเราต้องการน้ำในการหล่อเลี้ยงและให้ความชุ่มชื้นกับเซลล์ เมื่อเราดื่มน้ำไม่พอ ผิวก็จะขาดน้ำไปด้วย
อยู่ในห้องแอร์ ทำให้ผิวขาดน้ำ
ในเมืองที่อากาศร้อนแบบนี้ ใคร ๆ ก็คงอยากอยู่แต่ในห้องแอร์ แต่การที่เราอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานานนี่แหละที่สามารถให้ผิวแห้งได้ เพราะว่าห้องแอร์มักมีความชื้นอากาศต่ำ ทำให้น้ำจากผิวของเราก็จะระเหยได้ไวขึ้น เปรียบเทียบเหมือน เวลาตากผ้าในที่แห้ง แล้วผ้าแห้งเร็วกว่าตากในที่ชื้นนั่นเอง
ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ ทำให้ผิวขาดน้ำ
คนที่มีมีปัญหาผิวหน้าลอกเป็นขุย และสงสัยว่ามันเกิดจากอะไร อาจจะต้องกลับไปเช็กดูคลีนเซอร์ที่ตัวเองใช้สักหน่อย เพราะบางที่คลีนเซอร์ หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่ใช้อยู่อาจมีความรุนแรง จนทำร้ายปราการผิว และทำให้ผิวสูญเสียน้ำได้ง่าย
สำหรับผิวกายก็เช่นกัน เพราะสบู่บางประเภท เช่น สบู่สูตร anti-bacterial หรือสบู่ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมอาจมีส่วนทำให้ผิวแห้งกร้านได้
โรคผิวหนัง ทำให้ผิวแห้ง
ผิวแห้งอาจเกิดจากโรคผิวหนัง อาทิ เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) หรือ โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) โดยโรคเหล่านี้มักจะมาพร้อมกับอาการผิวที่แตก แดง คัน และอักเสบ เป็นจุด ๆ ตามร่างกาย ซึ่งหากใครมีอาการเหล่านี้อย่าเพิ่งพยายามซื้อครีม หรือยามาทาเอง แต่แนะนำให้รีบไปปรึกษาหมอผิวหนังจะดีที่สุด
ยิ่งอายุที่มากขึ้น ผิวยิ่งแห้งมากขึ้น
ไม่ว่าตอนนี้เราจะมีผิวประเภทไหน แต่เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายของเราจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างซึ่งจะทำให้ผิวของเราเก็บน้ำได้ไม่อยู่ เช่น
- ร่างกายผลิตเซลล์ได้ช้าลง และน้อยกว่าตอนที่อายุยังน้อย ทำให้ผิวบาง
- ผิวขาดน้ำมันเคลือบผิว เพราะต่อมไขมัน Sebum ทำงานช้าลง ทำให้ผิวเสียน้ำได้ง่าย
- ความสามารถในผลิตพวกเส้นใยโปรตีนที่ทำหน้าที่เก็บน้ำให้ผิวอย่าง คอลลาเจนและอีลาสตินน้อยลง ทำให้ผิวเก็บความชุ่มชื้นได้น้อยลง
ฉะนั้น เราจึงต้องมีวิธีการดูแลตัวเอง เพื่อเติมความชุ่มชื่นให้ผิว
วิธีดูแลผิว เปลี่ยนผิวแห้งและผิวขาดน้ำให้กลับมาชุ่มชื้น
ได้เรียนรู้กันไปแล้วว่าผิวขาดน้ำและผิวแห้งเกิดจากอะไร เรามาดูวิธีการเติมความชุ่มชื้นให้ผิวกันบ้าง
- ใช้โลชั่น หรือ มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อเป็นบำรุงให้ผิวมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ โดยแนะนำให้ลงหลังทำความสะอาดผิว เช่น ทามอยซ์เจอร์ไรเซอร์ หลังล้างหน้าเสร็จ หรือ ทาโลชั่นหลังอาบน้ำเสร็จ โดยเช็ดผิวให้หมาดๆก็ทาได้เลย
- ใช้ครีมกันแดดที่มี SPF ไม่ต่ำกว่า 30 เพื่อสร้างเกราะป้องกันและลดการอักเสบให้ผิวจากแสงแดด ที่อาจทำให้ผิวสูญเสียน้ำมากกว่าเดิม
- ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าไม่ทำให้หน้าแห้งตึง ใช้ Surfactant หรือสารทำความสะอาดอ่อนโยน หาผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ที่มีส่วนประกอบช่วยปลอบประโลมผิวและให้ความชุ่มชื้น อย่าง Ceramide มาทาเพิ่มเติม
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ และเลือกทานอาหารที่มีโอเมก้า 3 เช่น เนื้อปลา และผัก-ผลไม้ที่วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
เติมความรู้ เรื่องมอยซ์เจอร์ไรเซอร์
มอยซ์เจอร์ไรเซอร์เป็นสกินแคร์ที่ควรใช้ทุกวันเพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ที่ดีควรมี 3 ส่วนผสมหลักๆ ได้แก่ Humectant, Emollient, และ Occlusive
สารกลุ่ม Humectant มีหน้าที่ในการดึงน้ำเข้าสู่ผิว ทำให้ผิวของเราสามารถดูดซับและล็อกความชุ่มชื้น ได้ดี
ตัวอย่างส่วนผสมที่ควรมองหาในมอยเจอร์ไรเซอร: Hyaluronic Acid, Glycerin, Panthenol, Aquaxyl และ Glyceryl Glucoside
สารกลุ่ม Emollient มีหน้าที่ช่วยเติมน้ำมันให้ผิวมีความนุ่มลื่นและชุ่มชื้น จะทำหน้าที่บำรุงผิวที่แห้ง เสริมความแข็งแรงให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรง
ตัวอย่างส่วนผสมที่ควรมองหาในมอยเจอร์ไรเซอร์ Natural Oil (Rice Bran, Sunflower, Jojoba Oil) และ Dimethicone
สารกลุ่ม Occlusive มีหน้าที่ช่วยกักเก็บน้ำและน้ำมัน ลดการสูญเสียน้ำออกจากผิว ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นอยู่ตลอด
ตัวอย่างส่วนผสมที่ควรมองหาในมอยเจอร์ไรเซอร์: Petrolatum, Beeswax, Mineral Oils
ซึ่งมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ส่วนใหญ่ในตลาดจะเน้น ส่วนผสมที่ช่วยดึงน้ำหรือเติมน้ำเข้าผิวเป็นหลัก แต่จะไม่ค่อยมีส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มน้ำมันหรือกักเก็บน้ำ ซึ่งสำหรับคนที่มีปัญหาผิวแห้ง แนะนำว่าให้เลือกมอยซ์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมทั้ง 3 กลุ่มจะดีที่สุด
INGU แนะนำ: Green Tea Calming Cream
Green Tea Calming Cream มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ที่ควรใช้ได้ทุกวัน เหมาะสำหรับคนที่มีผิวหน้าแห้งกร้าน ลอก เป็นขุย เนื้อสัมผัสของครีมมีความเข้มข้น ซึมเข้าผิวได้อย่างรวดเร็ว
- เติมน้ำให้ผิวและล็อกความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึกด้วยส่วนผสมนวัตกรรมอย่าง Aquaxyl™ และ Glyceryl Glucoside
- ผสานกับ Ceramide Liposomes ในรูปแบบนาโนแคปซูล ช่วยให้ Ceramides ทั้ง 3 ประเภท: NP, NG, AP เข้าสู่ชั้นผิวได้ดีขึ้น เเละช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง
- อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระจากยอดใบชาเขียวออร์แกนิก ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและมลภาวะ
- มี Niacinamide ช่วยให้ลดเลือนความหมองคล้ำให้ผิวดูกระจ่างใส
วิธีใช้:
ทาทั่วใบหน้าที่ยังมีความเปียกอยู่เล็กน้อยเพิ่มเติม ล็อกความชุ่มชื้นให้ผิว สามารถใช้ทุกวันได้
Green Tea Calming Cream เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวแพ้ง่าย เพราะไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม และน้ำมันหอมระเหย พร้อมเติมความชุ่มชื้น และปลอบประโลม ทำให้เกราะป้องกันผิวแข็งเเรง