รอยดำและรอยแดงจากสิว คือ หนึ่งในปัญหาผิวที่หลายคนเผชิญ แม้สิวจะหายไปแล้ว แต่รอยที่หลงเหลือกลับทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน ส่งผลต่อความมั่นใจ บทความนี้ อิงกุจะพาเพื่อน ๆ ไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับรอยที่เกิดจากสิว ตั้งแต่สาเหตุ ประเภท การดูแลรักษา รวมถึงวิธีฟื้นฟูผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม
รอยดำ vs รอยแดงจากสิว ต่างกันยังไง
รอยแดงจากสิว
หรือที่เรียกว่า Post-Inflammatory Erythema (PIE) มักเกิดขึ้นหลังจากสิวอักเสบหาย โดยเกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังในบริเวณที่เคยเกิดการอักเสบ ส่งผลให้ผิวบริเวณนั้นมีสีชมพู แดง หรือม่วงอ่อน พบได้บ่อยในคนที่มีผิวขาวหรือผิวบอบบาง และไม่ได้เกิดจากเม็ดสีเมลานิน จึงไม่ถือว่าเป็นรอยคล้ำ
รอยดำจากสิว
หรือ Post-Inflammatory Hyperpigmentation (PIH) เกิดจากการที่ผิวผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไปหลังเกิดการอักเสบหรือบาดเจ็บ เช่น การแกะหรือบีบสิว ทำให้ผิวบริเวณนั้นมีสีเข้มขึ้น ตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีดำหรือม่วงคล้ำ รอยดำพบได้บ่อยในคนที่มีผิวเข้มหรือมีแนวโน้มสร้างเม็ดสีมาก โดยรอยดำจะจางลงอย่างช้าๆ และอาจใช้เวลานานเป็นปีในการฟื้นฟู
รอยแดงที่เกิดขึ้นบนผิวหน้า เกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง
รอยแดงจากสิวมีชื่อทางการแพทย์ว่า Post-Inflammatory Erythema (PIE) ซึ่งเกิดจากการอักเสบของผิวหนัง เมื่อสิวเกิดขึ้น ร่างกายจะส่งเม็ดเลือดขาวมาจัดการกับแบคทีเรีย ส่งผลให้หลอดเลือดฝอยบริเวณนั้นขยายตัว และยังคงขยายอยู่หลังสิวหาย ทำให้เกิดรอยแดง
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดรอยแดงจากสิว ได้แก่:
-
การบีบ แกะ หรือเกาสิว: ทำให้ผิวช้ำและกระตุ้นการอักเสบมากขึ้น
-
รังสี UV: การโดนแดดจัดโดยไม่ทาครีมกันแดดจะกระตุ้นให้รอยแดงเข้มขึ้น
-
พันธุกรรม: คนที่ผิวบอบบางหรือผิวขาวมักมีแนวโน้มเกิดรอยแดงมากกว่า
-
สภาพอากาศ: ความร้อน ความชื้น หรือฝุ่นละออง สามารถกระตุ้นให้ผิวอักเสบมากขึ้น
ประเภทของรอยแผลเป็นจากสิว
เมื่อสิวหาย อาจทิ้งร่องรอยไว้บนผิวในหลายรูปแบบ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้:
-
รอยแดง (Post-Inflammatory Erythema): รอยแดงหรือชมพูที่เกิดจากการอักเสบของสิว โดยเฉพาะในคนผิวขาว
รอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation): จุดสีน้ำตาลหรือม่วงคล้ำ มักเกิดในคนผิวเข้ม -
รอยหลุมสิว (Atrophic Scars): เกิดจากการที่เนื้อเยื่อผิวหนังถูกทำลาย ไม่สามารถสร้างกลับมาได้สมบูรณ์
-
Ice pick scars: หลุมเล็กและลึก
-
Boxcar scars: หลุมกว้างและลึก
-
Rolling scars: หลุมตื้นแต่กินบริเวณกว้าง
-
แผลนูน (Hypertrophic / Keloid Scars): แผลนูนขึ้นจากผิว เกิดจากการสร้างคอลลาเจนเกินจำเป็น
รอยดำ vs รอยแดงจากสิว รอยไหนรักษาอย่างไร?
สรุปง่าย ๆ คือ รอยดำจากสิวนั้นเกิดจากเม็ดสีเมลานินสะสมหลังการอักเสบ ซึ่งสามารถจัดการได้ด้วยสกินแคร์ที่ช่วยลดเม็ดสี ส่วนรอยแดงเกิดจากเส้นเลือดเล็กใต้ผิวหนังขยายตัว โดยการรักษาที่ได้ผลที่สุด คือ เลเซอร์
แต่นอกจากเลเซอร์แล้ว ก็มีงานวิจัยที่พบว่า Tranexamic Acid (TXA) ช่วยลดรอยแดงได้เช่นกัน โดยทำงานผ่านการลดการขยายตัวของเส้นเลือดเล็กใต้ผิวหนัง การใช้ TXA สามารถทำได้ทั้งในรูปแบบทาเฉพาะที่ เช่น เซรั่ม หรือฉีดเข้าผิวแบบ mesotherapy และเมื่อนำมาใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ อย่างเลเซอร์ก็สามารถช่วยให้รอยแดงจางลงได้ชัดเจน (อ้างอิงจาก Wiley Online Library และ Dovepress)
อย่างไรก็ตาม การใช้ TXA ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เพราะอาจมีผลข้างเคียงหรือไม่เหมาะกับบางสภาพผิว
5 วิธีดูแลผิวลดรอยดำ-รอยแดงจากสิว คืนความมั่นใจให้ผิวหน้า
1. ทาครีมลดรอยดำ-รอยแดงเฉพาะจุด
เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมช่วยลดการอักเสบ เช่น
-
Niacinamide: ลดรอยแดง เสริมเกราะป้องกันผิว
-
Centella Asiatica: สมานผิว ลดการอักเสบ
-
Allantoin: ปลอบประโลมผิว บรรเทาการระคายเคือง
อิงกุขอแนะนำ INGU Brightening Crystal Serum เซรั่มช่วยปรับผิวให้ดูกระจ่างใส เติมความชุ่มชื้น ลดความหมองคล้ำและรอยจุดด่างดำ ซึ่งเป็นต้นเหตุของความแก่ก่อนวัย ประกอบด้วยส่วนประกอบที่โดดเด่น ดังนี้
-
Crystalide® 3.0% เปปไทด์ที่ช่วยปรับสีผิวให้แลดูกระจ่างใสอมชมพูและเรียบเนียนขึ้น พร้อมทั้งบำรุงผิวให้แลดูชุ่มชื้น และแข็งแรง
-
SEPIWHITE™ MSH 0.5% ช่วยทำให้ผิวแลดูกระจ่างใส เรียบเนียน และจุดด่างดำดูจางลง
-
Niacianamide PC 4.0% Vitamin B3 ช่วยบำรุงผิวให้ดูเรียบเนียน เปล่งประกาย จุดด่างดำดูจางลง
-
Glucohyami GL 1.0% ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้น ให้ผิวดูอิ่มฟู เรียบเนียน และอ่อนเยาว์
วิธีใช้: ทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอหลังล้างหน้า ทั้งเช้าและเย็น หรือวันละหนึ่งครั้งตามสภาพผิว
2. ทาครีมกันแดดทุกวัน
รังสี UV เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้รอยดำจากสิวเข้มขึ้น และอาจทำให้ผิวเกิดการอักเสบซ้ำได้ จึงควรทาครีมกันแดดทุกวันแม้ไม่ได้ออกกลางแจ้ง โดยเลือกสูตรที่มี SPF 30+ และ PA+++ เพื่อปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB
3. หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือบีบสิว
การบีบสิวจะกระตุ้นให้ผิวอักเสบและเกิดรอยแดงมากขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัส บีบ แกะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่ล้างมือ รอยดำและรอยแดงจากสิวจะหายช้าและเพิ่มโอกาสติดเชื้อ ควรรักษาสิวอย่างถูกวิธีโดยใช้ยาหรือพบแพทย์
4. พิจารณาทำเลเซอร์หรือทรีตเมนต์
หากลองดูแลผิวด้วยสกินแคร์มาระยะหนึ่งแล้ว แต่รอยดำหรือรอยแดงจากสิวยังไม่จางลงเท่าที่หวัง อาจถึงเวลาที่ต้องพิจารณาวิธีดูแลขั้นต่อไปอย่างการทำเลเซอร์หรือทรีตเมนต์ ซึ่งสามารถช่วยฟื้นฟูผิวได้ลึกกว่าและเห็นผลชัดเจนมากขึ้น โดยมีตัวเลือกที่ได้รับความนิยม เช่น
-
Laser V-Beam / IPL: ลดรอยแดงโดยเฉพาะ
-
Microneedling: กระตุ้นการสร้างผิวใหม่
-
Chemical Peel: ผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน
5. พักผ่อนให้เพียงพอและลดความเครียด
หลายคนอาจไม่รู้ว่า “ฮอร์โมนความเครียด” อย่างคอร์ติซอล (Cortisol) มีส่วนสำคัญที่ทำให้สิวเกิดซ้ำ และกระตุ้นให้ผิวเกิดการอักเสบง่ายขึ้น ส่งผลให้รอยแดงหรือรอยดำจากสิวดูชัดเจนกว่าเดิม การดูแลสุขภาพจิตและร่างกายจึงเป็นอีกขั้นตอนสำคัญในการฟื้นฟูผิว
พยายาม นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 7–8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมเซลล์ผิวตามธรรมชาติ และ ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้ผิวดูสดใส มีชีวิตชีวา รวมถึงช่วยลดความเครียดในระยะยาวได้อีกด้วย
คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับรอยแดงจากสิว
1. รอยแดงจากสิวจางเองได้ไหม?
ได้ รอยแดงจากสิวสามารถจางลงเองได้ตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในกรณีที่ผิวได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและไม่ได้มีการกระตุ้นเพิ่มเติม การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมช่วยลดรอยแดง เช่น Niacinamide จะช่วยเร่งการฟื้นฟูและลดระยะเวลาของรอยแดงให้สั้นลงได้
2. ใช้เซรั่มอะไรช่วยลดรอยแดงจากสิวได้ดีที่สุด?
การเลือกเซรั่มเพื่อลดรอยแดงจากสิวควรเน้นส่วนผสมที่ช่วยลดการอักเสบ ปลอบประโลมผิว และส่งเสริมการฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงขึ้น เช่น Niacinamide (Vitamin B3) ที่มีคุณสมบัติลดรอยแดงและควบคุมความมัน Vitamin C ที่ช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส และ Centella Asiatica (ใบบัวบก) ที่ช่วยลดการอักเสบและสมานผิว
3. เลเซอร์รักษารอยแดงจากสิวได้ไหม?
ได้ การทำเลเซอร์ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดรอยแดงจากสิว โดยเฉพาะเครื่องเลเซอร์ที่ออกแบบมาเพื่อลดรอยแดงโดยตรง เช่น V-Beam Laser หรือ IPL (Intense Pulsed Light) ที่ช่วยทำให้หลอดเลือดฝอยที่ขยายตัวกลับมาหดตัว ส่งผลให้รอยแดงจางลงได้รวดเร็ว
4. ผิวแพ้ง่ายใช้ครีมหรือเซรั่มลดรอยแดงจากสิวได้ไหม?
ได้ แต่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสูตรอ่อนโยนเป็นพิเศษ ปราศจากสารระคายเคือง เช่น น้ำหอม พาราเบน และแอลกอฮอล์ ควรทดสอบผลิตภัณฑ์บริเวณหลังใบหูก่อนใช้จริง เพื่อดูว่าผิวมีอาการระคายเคืองหรือไม่
5. รอยแดงต่างจากสิวอักเสบยังไง?
รอยแดงจากสิวและสิวอักเสบนั้นต่างกัน สิวอักเสบ คือ สิวที่ยังอยู่ในระยะที่เกิดการอักเสบ มีอาการบวม แดง และอาจมีหนองร่วมด้วย โดยมักจะรู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัส ส่วนรอยแดงจากสิว จะเกิดขึ้นหลังจากสิวอักเสบหายไปแล้ว ซึ่งเป็นร่องรอยของการขยายตัวของหลอดเลือดฝอยบริเวณผิวหนัง และจะไม่มีอาการเจ็บหรือบวมอีกแล้ว รอยแดงมักมีสีชมพูหรือแดงอ่อน และสามารถจางลงได้ตามกาลเวลา หากไม่ได้รับการกระตุ้นซ้ำจากปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดดหรือการสัมผัสบ่อยๆ
รอยแดงจากสิวอาจไม่ใช่ปัญหาร้ายแรง แต่ส่งผลต่อความมั่นใจของหลายคน การเข้าใจสาเหตุ เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้ผิวของเพื่อน ๆ กลับมาเรียบเนียนและกระจ่างใสได้เร็วขึ้นนั่นเอง
