ตอบปัญหาคาใจ รักษาสิวอักเสบ ใช้อะไรถึงจะหาย ?

“สิวอักเสบ” ถือเป็นปัญหาผิวคาใจ ที่นอกจากจะเจ็บ คัน และรักษาได้ยากแล้ว ก็ยังชอบทิ้งรอยสิวไว้ให้เราลำบากใจอีก ในบทความนี้อิงกุเลยจะพาทุกคนไปเรียนรู้วิธีรักษาสิวอักเสบ และวิธีดูแลผิวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสิวอักเสบกัน 

สิวอักเสบ เกิดจากอะไร 

ก่อนจะไปดูวิธีรักษาสิวอักเสบ เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า สิวอักเสบ คืออะไรกันแน่

สิวอักเสบ หรือ Inflammatory acne เกิดจากรูขุมขนที่อุดตันและมีการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย C.anes นำไปสู่การอักเสบของผิวหนังในที่สุด สิวอักเสบเลยจะมาพร้อมกับความเจ็บ มีการบวมแดง และบางทีก็มีหัวเป็นหนอง ซึ่งต่างจากสิวอุดตัน (comedones) ที่เกิดจากการอุดตันจนนูนเป็นตุ่ม แต่ไม่มีอาการอักเสบ 

โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวอักเสบก็มีอยู่หลายอย่างด้วยกัน ทั้งฮอร์โมน ความเครียด อาหารที่กิน ยาที่ใช้ รวมไปถึงสกินแคร์ และเครื่องสำอางที่เราใช้ด้วย

สิวอักเสบ มีกี่ประเภท

เราสามารถแบ่งสิวอักเสบตามลักษณะของมันได้เป็น 4 ประเภท ต่อไปนี้

  • Papules คือ สิวตุ่มนูนแดงเม็ดไม่ใหญ่มาก จับแล้วรู้สึกเจ็บ และสามารถพัฒนาไปเป็นสิวตุ่มเม็ดใหญ่ขึ้นหรือสิวหัวหนองได้

  • Pustules หรือ สิวหัวหนอง เป็นสิวตุ่มนูนแดงที่มีหัวเปิดเป็นหนอง

  • Nodules หรือ สิวไต คือ สิวตุ่มแดงเม็ดใหญ่ มีความแข็ง มีรากการอักเสบที่ลึก โดยอาจจะเป็นสิวเม็ดเดี่ยว ๆ หรือเป็นสิวหลายเม็ดในบริเวณเดียวกัน (ออกมาในรูปแบบของสิวหัวช้าง) ก็ได้

  • Cysts หรือ สิวซีสต์ คือ สิวอักเสบเม็ดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเลือดและหนอง มีการอักเสบที่รุนแรง

ซึ่งทั้งสิวซีสต์ และสิวไต พอหายแล้วก็มักจะทิ้งรอยสิวหรือหลุมสิวให้เราหนักใจอีก แต่การรักษาสิวอักเสบอย่างถูกวิธีก็จะสามารถช่วยลดโอกาสการเกิดรอบแผลเป็นตรงนี้ได้

รักษาสิวอักเสบ กี่วันหาย?

จริง ๆ แล้ว สิวอักเสบแต่ละประเภทจะมีระดับการอักเสบไม่เท่ากัน การรักษาสิวอักเสบจึงใช้เวลาต่างกันออกไป เช่น สิวตุ่มแดงแบบ Papule อาจใช้เวลาแค่ 3-4 วัน ในการรักษาด้วยยาแต้มสิว แต่สิวไตอาจจะใช้ถึง 2 สัปดาห์เลยก็ได้

วิธีรักษาสิวอักเสบ ต้องทำอย่างไร?

สิ่งสำคัญที่เราควรจะเตือนตัวเองไว้เสมอเมื่อเป็นสิวอักเสบ ก็คือ ไม่ว่าจะเจ็บหรือรำคาญแค่ไหน ก็ห้ามแกะสิว หรือ บีบสิวเด็ดขาด เพราะ การแกะและบีบสิวเป็นการทำร้ายผิวของเราซึ่งจะทำให้เกิดรอยแผลเป็น และยังอาจทำให้การอักเสบของสิวรุนแรงขึ้นกว่าเดิม และ ไม่ควรปล่อยให้สิวหายเอง เพราะมันจะเป็นเหมือนการที่เราปล่อยให้ผิวอักเสบไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะทำให้มีโอกาสเป็นรอยหลุมสิวมากขึ้นอีกด้วย

ใช้ยาแต้มสิว

การใช้ยาหรือเจลแต้มสิว คือ วิธีรักษาสิวอักเสบที่ง่ายที่สุด เพราะตัวยาหรือเจลแต้มสิวเหล่านี้ เราสามารถซื้อมาใช้เองได้ โดยตัวส่วนผสมหลัก ๆ ที่เรามักจะเจอในผลิตภัณฑ์แต้มสิว ได้แก่

  • Salicylic acid มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิว สลายการอุดตัน และลดอาการอักเสบของเซลล์ผิว

  • Benzoyl peroxide ออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย C.acnes และมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบของผิว

  • กลุ่มยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) เช่น Clindamycin ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย C.acnes

ทานยารักษาสิวอักเสบ

การใช้ยาแบบรับประทาน เป็นวิธีการรักษาสิวอักเสบสำหรับคนที่มีปัญหาสิวปานกลางถึงรุนแรง ซึ่งยาที่ใช้จะเป็นยากลุ่มตัวยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) เช่น tetracycline, doxycycline และ erythromycin หรืออนุพันธ์วิตามินเอ อย่าง Isotretinoin ซึ่งจะต้องถูกสั่งจ่ายโดยหมอผิวหนังเท่านั้น

แต่การทานยา เป็นวิธีรักษาสิวอักเสบเพียงชั่วคราวเท่านั้น และควรต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์เสมอ ฉะนั้น คนที่กำลังคิดว่า จะลองไปร้านขายมาเพื่อซื้อยามาใช้เอง แนะนำว่าให้ปรึกษาแพทย์จะดีกว่า

ฉีดยารักษาสิวอักเสบ

การฉีดสิว เป็นวิธีจัดการกับสิวซีสต์และสิวไตหรือสิวหัวช้าง เพราะว่าสิวทั้งสองประเภทนี้ มีรากการอักเสบที่ลึกรุนแรง หายยาก และไม่ค่อยตอบสนองต่อการใช้ยาแต้ม โดยตัวยาที่ใช้ฉีดสิวจะเป็น Cortisone ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบของสิว

การรักษาสิวอักเสบ ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหน ก็ต้องใช้เวลาทั้งนั้น และบางคนยังมีความเชื่อว่า สกินแคร์ที่มี active ingredient แรง ๆ จะเป็นตัวช่วยเรื่องสิวอักเสบได้ แต่เราขอบอกเลยว่า การใช้ active ingredient เยอะ ๆ ถือเป็นการทำร้ายเกราะป้องกันผิวและความสมดุลของระบบนิเวศผิว ซึ่งจะยิ่งทำให้เป็นสิวง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วย

วิธีดูแลผิว เพื่อป้องกันสิวอักเสบ

เราคงเคยได้ยินว่า กันไว้ดีกว่าแก้เสมอ เรื่องสิวก็เหมือนกัน ซึ่งวิธีดูแลผิวแบบพื้นฐาน เพื่อลดโอกาสการเกิดสิวอักเสบ ก็สามารถทำได้ตามนี้เลย

รักษาความสะอาดของผิว

ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นควัน เหงื่อ หรือเครื่องสำอาง ถ้าตกค้างอยู่บนผิวก็สามารถนำไปสู่การอุดตันและเกิดเป็นสิวได้ ฉะนั้นการรักษาความสะอาดของผิว จึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก ๆ

เลือกใช้สกินแคร์ที่ถูกกับผิว 

สกินแคร์ที่เราใช้ อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดการระคายเคืองซึ่งทำเกิดเป็นสิวได้ ฉะนั้น อย่าลืมสังเกตตัวเองว่า ผิวตอบสนองต่อสกินแคร์หรือเครื่องสำอางที่ใช้อยู่อย่างไร 

และที่สำคัญก็คือ การดูแลผิว ไม่จำเป็นต้องมีหลายขั้นตอน เพียงแค่ล้างหน้าให้สะอาด บำรุงด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อให้ความชุ่มชื้น และกันแดดเพื่อป้องกันรังสียูวี ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

อย่าลืมว่า ไลฟ์สไตล์ที่ไม่เฮลตี้ ก็เป็นตัวการที่ทำให้เกิดสิวและปัญหาผิวอื่น ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น การทานอาหารมันหรือของหวานบ่อย ๆ การพักผ่อนที่ไม่เพียง หรือความเครียดที่สะสม การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่เราสามารถทำได้เพื่อลดโอกาสไม่ให้ตัวเองเป็นสิว และยังจะช่วยให้สุขภาพกายและใจของเราแข็งแรงอีกด้วย

เป็นสิวอักเสบ ใช้อะไรดี? INGU แนะนำ: 4D-Acne Calming Spot Gel

ใครที่กำลังมองหาเจลแต้มสิว เพื่อรักษาสิวอักเสบและสิวอุดตัน อิงกุขอแนะนำ 4D Acne Calming Spot Gel ตัวช่วยยับยั้งทั้ง 4 กลไกการเกิดสิว: ผลัดเซลล์ผิว ลดการอักเสบ ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย และ ลดการผลิตน้ำมัน 

เจลแต้มสิว 4D Acne Calming Spot มี Encapsulated Salicylic Acid หรือกรด BHA ในรูปแบบนาโนแคปซูลที่มีความอ่อนโยนต่อผิว ทำงานประสานกับ Alpha Mangosteen จากเปลือกมังคุดที่ช่วยยับยั้งเชื้อ C.Acnes และ Niacinamide PC ช่วยลดความมันส่วนเกิน ลดการอักเสบ และลดรอยดำจากสิว

วิธีใช้

  • แต้มบริเวณที่เป็นสิวเม็ด ๆ วันละ 1-2 ครั้ง เช้าหรือเย็นก็ได้ โดยแต้มได้ทั้งกับสิวอุดตันและสิวอักเสบ

สำหรับใครที่มีสิวทั่วหน้า แนะนำให้ใช้ร่วมกับ 4D-Acne Clearing Toner เพื่อป้องกันสิวเกิดใหม่ โดยที่ส่วนผสมของเจลแต้มสิวและโทนเนอร์ไม่ทำปฏิกิริยาต่อกัน